เรื่องการพัฒนากระบวนการวิทยาศาสตร์พื้นฐานของเด็กปฐมวัยโดยการใช้รูปแบบกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้
บทคัดย่อของ ณัฐชุดา สาครเจริญ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ความมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า
1. เพื่อระดับการศึกษาการพัฒนาของทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์พื้นฐานของเด็กปฐมวัยที่ได้รับจากประสบการณ์โดยใช้รูปแบบกิจกรรมศิลป
สร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้
2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะกระบวนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์พื้นฐานของเด็ก
ปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์โดยใช้รูปแบบกิจกรรมศิลป
สร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้
ความสำคัญของการเรียนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
การนำวิธีการสอนวิทยาศาสตร์มาสอดแทรกในการเรียนการสอนระดับปฐมวัยจะส่งเสริมให้เด็กเกิดการคิดอย่างเป็นระบบ และศึกษาสิ่งต่างๆด้วยการนำทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้กระตุ้นพัฒนาการเรียนรู้และส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านให้เกิดขึ้นอย่างสมดุลและเต็มศักยภาพ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่นำมาใช้การสอนเด็กปฐมวัย เช่นเดียวกับผู้ใหญ่แต่ขึ้นกับกระบวนการใช้ที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย ดังนี้ ขั้นกำหนดปัญญา ขั้นตั้งสมมุติฐาน การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อตรวจสอบสมมุติฐาน การวิเคราะห์ข้อมูล การอภิปราย
การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่
1. แผนการจัดกิจกรรมรูปศิลปะสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้
2. แบบประเมินการทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานสำหรับเด็กปฐมวัย
การสร้างแผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้
ในการศึกษาค้นคว้า ผู้วิจัยได้ดำเนินการดังนี้
1. ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้ จากรายงานการศึกษาเบื้องต้น
2. ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
ตัวแปรที่ศึกษา
1. ตัวแปรอิสระ ได้แก่ รูปแบบกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้2. ตัวแปรตาม ได้แก่ ลักษณะกระบวนการวิทยาศาสตร์ 6 ด้าน ดังนี้
2.1 การสังเกต
2.2 การจำแนก
2.3 การวัด
2.4 การสัมพันธ์
2.5 การสื่อสาร
2.6 การลงความเห็น
2. การพัฒนาทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์พื้นฐาน หมายถึง ระดับของการเปลี่ยนพฤติกรรมในการเรียนรู้ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์พื้นฐานของเด็กปฐมวัยทั้ง 6 ด้าน ซึ่งประเมินได้จากแบบประเมินที่ผูวิจัยสร้างขึ้นตามความหมายดังนี้
การสังเกต หมายถึง
ความหมายในการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน ซึ่งได้แก่ ตา
หู จมูก ลิ้น และผิวกาย
เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์แล้วเด็กสามารถบอกความแตกต่างของสิ่งนั้นได้
การจำแนก หมายถึง
ความสามารถในการแบ่งประเภทสิ่งของโดยมรเกณฑ์ที่ใช้ในการจำแนกประเภท ได้แก่
ความเหมือน ความแตกต่างและสัมพันธ์
การวัด หมายถึง
ความสามารถในการประมาณของสิ่งต่างๆรวมถึงการประมาณความแตกต่างของวัตถุ
โดยใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์อื่นในการกำหนดค่า
การหามิติสัมพันธ์ หมายถึง
ความสามารถในการบอกความสัมพันธ์ระหว่างมิติต่างๆของวัตถุหรือบอกตำแหน่งของวัตถุได้แก่
ขนาด รูปร่าง ระยะทาง ตำแหน่ง พื้นที่ สถานที่ไป
การสื่อสาร หมายถึง
ความสามารถในการบอก อธิบายสิ่งค้นพบให้ผู้อื่นเข้าใจได้ถูกต้อง
การลงความเห็น หมายถึง
ความสามารถในการสรุปผลของการศึกษาค้นคว้าจากการใช้ทักษะการสังเกต
หรือการทดลองได้อย่างมีเหตุผล
3. รูปแบบกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้หมายถึง กิจกรรมการเรียนรู้ที่ศิลปะสร้างสรรค์เป็นสื่อการสร้างสาระหรือสิ่งที่เรียนรู้ ความเข้าใจและมีความสุขกับการเรียนรู้ รูปแบบกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้ที่ใช้ในการวิจัยนี้จำแนกเป็น 6 ลักษณะดังนี้ ศิลปะย้ำ หมายถึงการระบายสีหรือการใช้เทคนิคอะไรก็ได้ในการวาดภาพ ตัดแปะ ตามภาพของสิ่งที่เรียนเพื่อการย้ำสิ่งที่เด็กเรียนรู้ ศิลปะปรับภาพ หมายถึงการนำวัสดุที่มาสร้างงานศิลปะประดิษฐ์เพื่อย้ำความเข้าใจในสาระที่เรียนเป็นการทบทวนความรู้ ศิลปะเปลี่ยนแบบ หมายถึงการใช้สิ่งที่เด็กเรียนรู้มาเปลี่ยนรูปแบบเพื่อสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่ตนชอบ ศิลปะถ่ายโยง หมายถึงการใช้ศิลปะเป็นสื่อการโยงการรับรู้ของเด็กด้วยการทำภาพ เช่น วาดหรือปั้นโดยการสังเกตถ่ายโยงไปสู่การเรียนรู้ตัวแบบของศิลปะนั้นๆ ศิลปะบูรณาการ หมายถึงการนำความรู้ที่ได้มาเป็นพื้นฐานของการพัฒนางานศิลปะเป็นภาพหรือสิ่งประดิษฐ์โดยการสังเกตและเปรียบเทียบ เพื่อให้เกิดภาพ จากนั้นให้เพิ่มเติมได้ตามเพี่อการเรียนรู้
วิธีการดำเนินการทดลอง
1.ผู้วิจัยทำการทดสอบทักษะกระบวนวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย
(Pretest) ก่อนทดลอง
2. ผู้วิจัยทำการดำเนินการทดลองในกิจกรรมเสริมประสบการณ์
ด้วยการจัดกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้ ใช้เวลาทดลอง 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3วัน ใน
วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันละ 40 นาที รวม 24 ครั้ง ทำการทดลองในช่วงเวลา 09.30 –10.10 น. วันที่ 25 มกราคม 2548 – วันที่
24 มีนาคม 2548 ผู้วิจัยดำเนินกิจกรรมตามขั้นตอนในการจัดกิจกรรมตามวัน
และเวลาดังนี้
3. เมื่อดำเนินการทดลองครบ
8 สัปดาห์ ผู้วิจัยทำการประเมินทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์พื้นฐานของเด็กปฐมวัย
(Posttest) หลังเสร็จสิ้นการทดทอง
โดยใช้แบบทดสอบชุดเดียวกันกับที่ใช้ในการทดลองก่อนทดลอง
4. นำข้อมูลที่ได้จากการทดสอบทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์พื้นฐานของเด็กปฐมวัย มาตรวจให้คะแนนและนำไปทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีทางสถิติต่อไป
การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
1.ให้เด็กเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ (Active
Learning)
การลงมือกระทำจริงด้วยตนเองการได้รับประสบการณ์ตรงจากการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 52.จัดกิจกรรมตามสภาพจริง (Authentic activity)
การจัดกิกรรมที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เด็กอาศัยอยู่เป็นการส่งเสริมดารเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม3. ด้านประสบการณ์เดิมของเด็ก (prior
knowledge)
การเรียนรู้สิ่งใหม่นั้นฐานมาจากประสบการณ์เดิมของเด็ก4. สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็ก (Teacher
and Child interaction)
ครูต้องเป็นผู้ให้ คำแนะนำ กำลังใจ
เอื้ออำนวยช่วยเหลือให้เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง5. สะท้อนความคิด (Reflective thinking) ระหว่างที่จัดกิจกรรมเรียนรู้
การสะท้อนความคิดเป็นลักษณะหนึ่งที่ต้องกระตุ้นให้เด็กเกิดความคิดไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับการกระทำที่ปฏิบัติลงไป
สรุปผลการศึกษา
1. พัฒนาการกระบวนการวิทยาศาสตร์พื้นฐานของเด็กปฐมวัยหลังจากจัดกิจกรรมรูปแบบศิลปสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้โดยภาพรวมและจำแนกตามทักษะอยู่ในระดับดี
2. พัฒนาการกระบวนการวิทยาศาสตร์พื้นฐานของเด็กปฐมวัยหลังจากจัดกิจกรรมรูปแบบศิลปสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้สูงขึ้นกว่าก่อนการจัดกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น